Showing 110 results

Persons

คุณหญิงชิ้น ศิลปบรรเลง

  • Person
  • 1906-1988

คุณหญิงชิ้น ศิลปบรรเลง เป็นบุตรของหลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) และนางโชติ ศิลปบรรเลง เกิดที่วังบูรพาภิรมย์ เมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๔๙ มีพี่น้องร่วมบิดามารดารวม ๔ คน คือ คุณหญิงชิ้น นางมหาเทพกษัตรสมุห (บรรเลง สาคริก) นายประสิทธิ์ ศิลปบรรเลง และนางชัชวาลย์ รุ่งเรือง มีพี่น้องร่วมบิดา ซึ่งเกิดจากคุณแม่ ฟู อีก ๔ คน คือ นางภัลลิกา นายขวัญชัย นาวาเอกสมชาย และนายสนั่น ศิลปบรรเลง คุณหญิงชิ้น เรียนหนังสือจบชั้นมัธยมปีที่ ๘ จากโรงเรียนราชินี เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๖ และสอบได้วุฒิครู พ.ม. ใน พ.ศ. ๒๔๘๓ ได้ยึดอาชีพเป็นครูมาตลอดจนเกษียณอายุ โดยเริ่มรับราชการเป็นครูที่โรงเรียนเบญจมาราชาลัย ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๖ ถึง พ.ศ. ๒๔๗๗ ได้ย้ายไปสอนที่โรงเรียนนาฏดุริยางค์ กรมศิลปากร ในฐานะผู้เริ่มก่อตั้งโรงเรียนร่วมกับหลวงวิจิตรวาทการ ดำรงตำแหน่งหัวหน้าแผนกนาฏดุริยางค์เป็นเวลา ๒๐ ปี ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๗ จึงย้ายมาประจำอยู่ที่โรงเรียน ฝึกหัดครูพระนคร สังกัดกรมการฝึกหัดครู พ.ศ. ๒๕๐๔ ได้รับทุนไปดูงานด้านโทรทัศน์เพื่อการศึกษา ณ ประเทศอิตาลี ประเทศอังกฤษ และประเทศอเมริกา กลับมาแล้วย้ายไปประจำอยู่โรงเรียนฝึกหัดครูธนบุรี แล้วย้ายไปประจำที่วิทยาลัยวิชาการศึกษาประสานมิตร จนเกษียณอายุเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๙ ปัจจุบันนี้ ( พ.ศ. ๒๕๒๕ ) ดำรงตำแหน่งประธานมูลนิธิหลวงประดิษฐ์ไพเราะ

คุณหญิงชิ้น เรียนดนตรีจากบิดาโดยตรงชำนาญทั้งการบรรเลง ขับร้อง ประพันธ์บทเพลง จนแม้แต่การบันทึกบทเพลงลงเป็นโน้ตแบบต่าง ๆ เป็นผู้รวบรวมผลงานจากบิดาไว้มากที่สุดแล้วถ่ายทอดให้แก่ศิษย์อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย มีความอุตสาหะ อดทนเป็นยอดเยี่ยมและเป็นครูที่ประเสริฐที่สุดคนหนึ่ง ทำหน้าที่ครูอย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยการตั้งใจสอนและเสียสละเพื่อศิษย์เป็นอันมาก เป็นผู้ร่วมงานก่อตั้งวงดนตรีของคุรุสภา เป็นกรรมการจัดบทวิทยุโรงเรียน ก่อตั้งโรงเรียนนาฏศิลป์และดนตรีผกาวลี และร่วมงานบันทึกเพลงกับมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยแห่งมลรัฐคาลิฟอร์เนีย (ยูซีแอลเอ) รวมทั้งเป็นกำลังสำคัญในการก่อตั้งวงดนตรีโรงเรียนวัดบวรนิเวศ ซึ่งศิษย์จากวงนี้ได้รับการยกย่องว่า เป็นดนตรีไทยระดับมัธยมศึกษาที่มีฝีมือดี ได้รับรางวัลในการบรรเลงดนตรีไทยอยู่เป็นประจำ พ.ศ. ๒๕๑๙ ได้รับพระราชทานตราจตุตถจุลจอมเกล้า แล้วได้เลื่อนเป็นตราตติยจุลจอมเกล้า เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๑ แม้ว่าสุขภาพของท่านจะไม่สู้ดีนัก เนื่องจากเป็นโรคหัวใจ ก็ยังจัดทำหนังสือชุมนุมผลงานหลวงประดิษฐ์ไพเราะ และเป็นประธานจัดงานประกวดดนตรีไทยระดับชาติขึ้นเป็นครั้งแรก ใน พ.ศ. ๒๕๒๕ จนประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี มีผลให้นิสิตนักศึกษา นักเรียน ทั้งในกรุงเทพ ฯ และต่างจังหวัดเข้ามาร่วมประกวดเป็นครั้งแรก นับเป็นงานใหญ่ชิ้นล่าสุดของท่านในปี พ.ศ. ๒๕๒๕

จากผลงานความอุตสาหะของท่าน ทำให้ท่านได้รับพระราชทานปริญญาบัตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร เมื่อวันที่ ๑๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๕ และในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๑ ท่านได้รับพระราชทานโล่และเข็มเชิดชูเกียรติในฐานะศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีไทย) ประจำปี พ.ศ. ๒๕๓๐ นับเป็นเกียรติประวัติสูงสุดในชีวิตของท่าน ในด้านชีวิตครอบครัว ท่านสมรสกับนายประสงค์ ไชยพรรค เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๔ มีบุตรี ๑ คน ชื่อ มธุรส วิสุทธกุล เป็นอาจารย์สอนอยู่ภาควิชาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยรามคำแหง คุณหญิงชิ้น ถึงแก่กรรม เมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๑ รวมอายุได้ ๘๒ ปี

Source: http://sirindhornmusiclibrary.mahidol.ac.th/musiclibrary/index.php?ac=hall_of_fame/hall_of_fame_dataperson&id=41&languages=th

หลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง)

  • Person
  • 1881-1954

หลวงประดิษฐ์ไพเราะ มีนามเดิมว่าสอน หรือศร เกิดเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2424 เป็นบุตรของ นายสิน นางยิ้ม ศิลปบรรเลง บิดาของท่านคือครูสินเป็นเจ้าของวงปี่พาทย์ และเป็นศิษย์ของพระประดิษฐไพเราะ (มี ดุริยางกูร)

ในปี พ.ศ. 2443 ขณะเมื่ออายุ 19 ปี ท่านได้แสดงฝีมือเดี่ยวระนาดเอกถวายสมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช เป็นที่ต้องพระทัยมาก จึงทรงรับตัวเข้ามาไว้ที่วังบูรพาภิรมย์ ทำหน้าที่คนระนาดเอกประจำวงวังบูรพาไปด้วย พร้อมกับสมเด็จท่านได้ เชิญครูมาสอนที่วัง คือ พระยาประสานดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์) เนื่องจากจางวางศร ได้รับพระกรุณาจากสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช เป็นอย่างมาก ทรงจัดหาครูที่มีฝีมือมาฝึกสอน ทำให้จางวางศรมีฝีมือกล้าแข็งขึ้นในสมัยนั้นไม่มีใครมีฝีมือเทียบเท่าได้เลย

วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2468 นายสอน ศิลปบรรเลง ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นหลวงประดิษฐไพเราะ มีราชการในกรมมหรสพ ถือศักดินา 400 เข้ารับพระราชทานสัญญาบัตรเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม ณ พระที่นั่งบรมพิมาน แล้วได้รับพระราชทานยศเป็นหุ้มแพร ในวันที่ 13 กรกฎาคม ศกเดียวกัน ทั้งนี้ ท่านไม่เคยรับราชการอยู่ในกรมกองใดมาก่อน แต่เพราะฝีมือและความสามารถของท่านเป็นที่ต้องพระหฤทัยนั่นเอง

ครั้นถึงปี พ.ศ. 2469 ท่านได้เข้ารับราชการในกรมปี่พาทย์และโขนหลวง กระทรวงวัง ท่านได้มีส่วนถวายการสอนดนตรีให้กับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี รวมทั้งมีส่วนช่วยงานพระราชนิพนธ์เพลงสามเพลง คือ เพลงราตรีประดับดาวเถา เพลงเขมรละออองค์เถา และ เพลงโหมโรงคลื่นกระทบฝั่ง สามชั้น

หลวงประดิษฐไพเราะถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2497 รวมอายุ 73 ปี

เพลงได้แต่งไว้หลวงประดิษฐไพเราะ ได้แต่งเพลงไว้มากกว่าร้อยเพลง ดังนี้:

เพลงโหมโรง
โหมโรงกระแตไต่ไม้ โหมโรงปฐมดุสิต โหมโรงศรทอง โหมโรงประชุมเทวราช โหมโรงบางขุนนท์ โหมโรงนางเยื้อง โหมโรงม้าสะบัดกีบ และโหมโรงบูเซ็นซ๊อค เป็นต้น

เพลงเถา
กระต่ายชมเดือนเถา ขอมทองเถา เขมรเถา เขมรปากท่อเถา เขมรราชบุรีเถา แขกขาวเถา แขกสาหร่ายเถา แขกโอดเถา จีนลั่นถันเถา ชมแสงจันทร์เถา ครวญหาเถา เต่าเห่เถา นกเขาขแมร์เถา พราหมณ์ดีดน้ำเต้าเถา มุล่งเถา แมลงภู่ทองเถา ยวนเคล้าเถา ช้างกินใบไผ่เถา ระหกระเหินเถา ระส่ำระสายเถา ไส้พระจันทร์เถา ลาวเสี่งเทียนเถา แสนคำนึงเถา สาวเวียงเหนือเถา สาริกาเขมรเถา โอ้ลาวเถา ครุ่นคิดเถา กำสรวลสุรางค์เถา แขกไทรเถา สุรินทราหูเถา เขมรภูมิประสาทเถา แขไขดวงเถา พระอาทิตย์ชิงดวงเถา กราวรำเถา ฯลฯ

ประสิทธิ์ ศิลปบรรเลง

  • Person
  • 1912-1999

ประสิทธิ์ ศิลปบรรเลง เกิดเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2455 ที่บ้านหน้าวังบูรพาภิรมย์ (ริมคลองโอ่งอ่าง) กรุงเทพมหานคร เป็นบุตรคนที่ 6 ของหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) จางวางมหาดเล็กในสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช พระเอกนักระนาดเอกในภาพยนต์เรื่อง โหมโรง ผู้ซึ่งเป็นทั้งนักระนาดเอกที่เก่งกาจ และอาจารย์ผู้ประพันธ์ดนตรีไทยผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ และถือเป็นปูชนียบุคคล ทางศิลปดนตรีไทยของชาติไทย และนางโชติ (หุราพันธุ์) ประดิษฐไพเราะ
ประสิทธิ์ ศิลปบรรเลง สมรสกับ นางสาวลัดดา สารตายน มีบุตรชาย 1 คน หญิง 1 คน คือ รศ.ดร.กุลธร ศิลปบรรเลง และ นางวัลย์ลดา (ศิลปบรรเลง) หงส์ทอง

ประสิทธิ์ ศิลปบรรเลง ศึกษาชั้นมัธยมที่โรงเรียนเทพศิรินทร์จนถึงชั้นมัธยมปีที่ 2 แล้วได้ย้ายไปเรียนต่อชั้นมัธยมปีที่ 3 ที่กระทรวงธรรมการ (กระทรวงศึกษาธิการในปัจจุบัน) จนจบหลักสูตรมัธยมศึกษา และได้ศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อยู่ช่วงหนึ่ง พร้อมกันนั้นได้ศึกษาเพลงไทยและเล่นเครื่องดนตรีไทยทุกชนิดของบิดาจนมีความเชี่ยวชาญมาตามลำดับ หลังจากเรียนรู้ด้านดนตรีไทยจากท่านบิดาจนเจนจบ ประสิทธิ์ ศิลปบรรเลง ได้รับการสนับสนุนจากบิดาให้เข้าเรียนดนตรีสากลในตอนกลางคืนที่โรงเรียนวิทยาสากลซึ่งตั้งอยู่ที่สะพานมอญ ซึ่งเป็นโรงเรียนสอนดนตรีเอกชนแห่งแรกของประเทศไทย อำนวยการสอนโดยพระเจนดุริยางค์ ณ ที่นี้ ประสิทธิ์ ศิลปบรรเลงได้เรียนรู้ถึงทฤษฎีดนตรีเบื้องต้น จากนั้นได้ไปเรียนการบรรเลงเปียโนกับครูนารถ ถาวรบุตร

พ.ศ.2477 ประสิทธิ์ ศิลปบรรเลง ได้ติดตามคณะนาฎศิลป์และดนตรีไทยของโรงเรียนนาฎดุริยางค์ กรมศิปากรไปแลกเปลี่ยนศิลปวัฒนธรรมที่ประเทศญี่ปุ่น ในการเดินทางครั้งนั้น ประสิทธิ์ ศิลปบรรเลงได้ศึกษาต่อด้านการประพันธ์เพลง และการกำกับวงของดนตรีสากลตะวันตก ที่สถาบันอิมพีเรียล อคาเดมี ออฟ มิวสิค มหาวิทยาลัย เกได (Imperial Academy of Music, Geidai University) ณ กรุงโตเกียว เป็นเวลา 4 ปี จนสำเร็จปริญญาตรีทางดนตรี ซึ่งเป็นคนไทยคนแรกที่สำเร็จได้รับปริญญาตรีทางด้านประพันธ์ดนตรี (Music Composition) และเป็นศิษย์เอกของอาจารย์ชาวเยอรมัน คือ ดร.เคลาส์ ปริงส์ไฮม์ (Dr. Klaus Pringsheim) ผู้เป็นศิษย์ของคีตกวีเอกของโลกถึง 2 ท่าน คือ กุสต๊าฟ มาห์เล่อร์ (Gustav Mahler) และ ริชาร์ด เสตร๊าส์ (Richard Strauss)

เมื่อกลับมาประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2481 ประสิทธิ์ ศิลปบรรเลงได้เข้ารับราชการที่กองดุริยางค์สากลกรมศิลปากร ซึ่งในช่วงที่รับราชการได้เกิดสงครามเอเชียบูรพาขึ้น กองทัพบกได้เชิญประสิทธิ์ ศิลปบรรเลงไปประจำอยู่กองทัพไทย โดยทำหน้าที่เป็นล่ามภาษาญี่ปุ่นเป็นเวลา 4 ปี

ภายหลังสงครามสงบ ประสิทธิ์ ศิลปบรรเลงได้ลาออกจากราชการที่กรมศิลปกรและประกอบอาชีพด้วยการเป็นอาจารย์พิเศษสอนดนตรีที่โรงเรียนการเรือนพระนคร (ปัจจุบันคือ สถาบันราชภัฎสวนดุสิต) โรงเรียนพาณิชย์วิทยาลัย และผู้ที่มีความสนใจส่วนตัวที่ต้องการศึกษา การเล่นเครื่องดนตรีสากลต่างๆ

ช่วงหลังสงครามยังไม่มีภาพยนต์ต่างประเทศเข้ามาฉาย คนไทยในยุคนั้นนิยมดูละคร ประสิทธิ์ ศิลปบรรเลงได้รวมทุนกับญาติพี่น้องตั้งคณะละครเวที ชื่อ "คณะศิษย์เก่าศิลปากร " แสดงเรื่อง “ผกาวลี” ที่โรงละครเก่า กรมศิลปากรเป็นเรื่องแรก ละครเรื่องนี้เป็นที่นิยมมากจนต้องแสดงอีกเป็นครั้งที่ 2 และในการแสดงครั้งหลังนี้ได้มีโอกาสแสดงถวายหน้าพระที่นั่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 และสมเด็จเจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดชฯ ขณะดำรงพระอิสริยยศเป็นพระอนุชาในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 8

การประพันธ์ดนตรีของประสิทธิ์ ศิลปบรรเลง เป็นการประพันธ์ดนตรี ลักษณะ Classic ในแนว Romance ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของผลงานของท่าน ที่พอจะจำแนกได้ดังนี้

ดนตรีสำหรับวงซิมโฟนี

  • Siamese Suite ประกอบด้วย 4 Movements โดยที่ท่อนแรกให้ใช้ชื่อว่า Moon Over the Temple เป็นผลงานวิทยานิพนธ์ ประพันธ์ที่กรุงโตเกียว ส่วนท่อนสุดท้ายชื่อ At a Wedding in Bangkok’s China town นั้น เอาผลงานเพลงละครที่ประพันธ์ไว้มาขยายสำหรับเล่นด้วยวงซิมโฟนี งานประพันธ์ชิ้นนี้เกิดขึ้นเมื่อท่านอายุได้ 40 ต้น ๆ

  • Siang Tian Symphonic Poem (เสี่ยงเทียน) พร้อมการร้องประสานเสียงของหมู่นักร้องหญิง ผลงานประพันธ์นี้ถือเป็นการรังสรรค์ร่วมกันระหว่าง สองดุริยกวีผู้เป็นบิดา และบุตรเนื่องจาก ประสิทธิ์ ศิลปบรรเลง ได้เลือกเพลงไทยเดิม คือ “ลาวเสี่ยงเทียน” ท่อนที่เป็นทางกลับซึ่ง หลวงประดิษฐไพเราะได้ประพันธ์ไว้ มาแต่งเติมเพิ่มขยายในแนวสากลตะวันตก ตามแบบแผนดนตรีซิมโฟนีที่นิยมกระทำกัน งานประพันธ์ชิ้นนี้สมบูรณ์เมื่ออายุได้ 77 ปี

  • Cherd Nai Overture (โหมโรงเพลงเชิดใน) จากโครงสร้างเพลง “เชิดใน” ของบิดา ได้นำมาประพันธ์ใหม่ตามแบบแผนเพลงโหมโรงของวงดนตรีซิมโฟนีตะวันตก โดยประพันธ์สกอร์ของเปียโนเสร็จเมื่ออายุ 86 ปีและป่วยเป็นโรคปอดอักเสบจึงต้องให้ Mr. John Georgiadis ทำการเรียบเรียงเสียงประสานต่อจนจบสำหรับบรรเลงโดยวงซิมโฟนีขนาด 70 คน

  • Siamese Romances in D จากผลงานการประพันธ์เพลงละคร 3 ชิ้น ประสิทธิ์ ศิลปบรรเลง และลูกศิษย์คนสุดท้ายที่สนิทสนมกันมาก (คุณอัปสร กูรมะโรหิต โดยพื้นฐานเป็นสถาปนิก) ได้นำมาเรียบเรียงเสียงประสานใหม่ในแนว Medley ที่น่าสนใจคือการที่นำเอาเพลงไทยเดิมของบิดาอีก 2 เพลง คือโลมเหนือ และ โลมพม่า มาประพันธ์ใหม่ในแนวสากลตะวันตกให้เป็นส่วนหนึ่งของ Medley รวมแล้วมี 5 เพลงสั้น ๆ เข้าด้วยกันในลักษณะของ Dramatic Suite for Orchestra

  • Soke Pama (โศกพม่า) บทประพันธ์เดิมของท่านบิดา ที่เคยมีผู้นำไปร้องในลักษณะเพลง “ลูกกรุง” แต่ประสิทธิ์ ได้ประพันธ์ในแนวสากลตะวันตกสำหรับวงซิมโฟนีอย่างถูกต้องตามแบบแผน ถ้าผู้มีอายุหน่อยและจำเพลงได้ จะเห็นความแตกต่างของแนวทางการประพันธ์ประเภท "ลูกกรุง" และการบรรเลงแบบวงซิมโฟนี อย่างชัดเจน

  • ดำเนินทราย (Damnern Shgh) with voice จากเพลงไทยเดิมของท่านบิดา ประสิทธ์และลูกศิษย์อัปสร ได้ร่วมกันเรียบเรียงขึ้นใหม่ สำหรับวงซิมโฟนี และมีการขับร้องด้วยเสียงโซปราโน

ดนตรีสำหรับ วง String Quartet มีเครื่องดนตรี 4 ชิ้น ประกอบด้วยไวโอลิน 1 และ 2 วิโอล่า และเชลโล่ จัดอยู่ในประเภทเครื่องสายสำหรับวง Chamber music ได้แก่บทประพันธ์คือ

  • ดำเนินทราย (โดยใช้โครงสร้างดนตรีไทยเดิมของบิดา)
  • เสี่ยงเทียน (โดยใช้โครงสร้างดนตรีไทยเดิมของบิดา)

เพลงประกอบการแสดงละคร
หลวงประดิษฐไพเราะ ประสิทธิ์ ภริยา และญาติ ได้จัดตั้งคณะละครผกาวลีขึ้นเพื่อแสดงละครประกอบเพลง (ในลักษณะบรอดเวย์ที่อเมริกา หรือ เวสท์ เอ็นด์ที่อังกฤษ เช่นละครเพลงเรื่อง Phanthom of the Opera ของ Andrew Lloyd Weber และ Miss Saigon เป็นต้น) และเขียนบทเพลงสำหรับพระเอก, นางเอก, หรือตัวละครในเรื่องนั้น ๆ ขับร้องร่วมกับวงดนตรีสากลขนาดเล็ก ใช้เครื่องดนตรีประมาณ 14 ชิ้น การประพันธ์เพลงเหล่านี้เกิดขึ้นในช่วงอายุ 35-39 ปี


Prasidh Silapabanleng was born on July 10, 1912, as the sixth son of Luang Praditphairoh and Mrs. Chote (Huraphan) Prditphairoh. He was educated up to the Mathayom 8, a pre university class, of the old education system.

He studied Thai music (and played all the traditional Thai musical instruments) from his father, one of the most celebrated classical Thai music masters and composers, until he became and expert. Apart from Thai music, Prasidh was extremely interested in the western music. He gained his father’s support and was sent to Withayasakol, the first private music school in Thailand, with Pra Jen Duriyang as the director. He also took piano lesson with Nart Tavornbutr.

On the occasion that he accompanied the musical and dance troupe of the Fine Arts Department on the program of cultural exchange to Japan in 1934, he started his western music study at the Imperial Academy of Music,Geidai University, in Tokyo, for four years, majoring in music composition and conducting. He was the first Thai to have been graduated with Bachelor Degree in Music Composition from a foreign university. Pasidh was also a fond student of a German professor Dr. Klaus Pringsheim, who himself was a student of several world renowned composers including Gustav Mahler and Richard Strauss.

Prasidh Silapabanleng’s early compositions were mainly songs and musical pieces for various stage plays, performed by a western styled pit orchestra. His first major composition the “Siamese Suite”, a symphony in 4 movements, entered by Prasidh in response to the invitation of the Belgian’s international competition of music composition in 1954, was first performed at the Southeast Asian Music Conference in Manila by the Philippines National Symphony Orchestra. It was performed for the Thai Audience in 1981.

At 77 years of age, he composed a Symphonic Poem called “Siang Tian” by rearranging and orchestrating compositions of his father, to be performed by a symphony orchestra with female chorus, a synthesis of Thai and Western music. The piece was lauded as a masterpiece both in Thai and and foreign countries. The Siang Tian was issued on CD in 1996, with Mr. John Georgiadis conducting the Bangkok Symphony Orchestra.

In June 1998 when Prasidh was almost 86 years old, at the request of the President of Assumption University (ABAC) of Bangkok, Prasidh composed two songs, also now on CD for the University. To honour the great King Bhumiphol of Thailand, Prasidh wrote a new composition in early 1999 called “Cherd Nai” based on the traditional Thai music of his father. The Cherd Nai was composed to be performed as an Overture. The Cherd Nai and other compositions of Prasidh were issued on CD in 2004, with Mr. Terje Mikkelsen of Norway conducting the Latvian National Symphony Orchestra.

On December 11, 1998 Prasidh Silapabanleng was nominated and proclaimed the “National Artist (Composer)” by the National Committee for the Selection of National Artists under the Ministry of Education . Prasidh was granted a royal audience for the award presentation. A plaque of honour was given by Her Royal Highness Princess Maha Chakri Sirindhorm as his award of recognition.

To preserve his other compositions, a third album of Prasidh’s works called the “Sai Sumphun” was issued on CD in 2005 with Mr. Terje Mikkelsen of Norway conducting the Latvian National Symphony Orchestra. All the works of Prasidh recorded in 3 albums of CD have been sponsored by his son, Dr. Kulthorn Silapabanleng, with his last and fond pupil Apsorn Kurmarohita assisting in the preparation of scores and parts.

Prasidh Silapabanleng passed away on September 4, 1999 after suffering from bout of Pneumonia. He was 87 years old.

ลัดดา (สารตายน) ศิลปบรรเลง

  • Person
  • 1920 - 2013

ผลงานสมัยเริ่มแรก
สมัยเป็นนักเรียนโรงเรียนนาฏดุริยางค์ กรมศิลปากร ครูลัดดาได้รับเลือกจากหลวงวิจิตรวาทการให้ขึ้นเวทีเล่นละครตั้งแต่เป็นนักเรียนจนกระทั่งเป็นครูของโรงเรียนนาฏดุริยางค์ ได้เคยเดินทางไปแสดงศิลปวัฒนธรรมไทยที่ประเทศญี่ปุ่นและแมนจูเรีย เมื่อ พ.ศ. 2477 พร้อมกับคุณหญิงประภาพรรณ วิจิตรวาทการ และคุณหญิงชิ้น ศิลปบรรเลง การแสดงที่ญี่ปุ่นนั้นเดินทางไปตามหัวเมืองสำคัญต่างๆ ประสบความสำเร็จอย่างมาก

เมื่อกลับมาจากญี่ปุ่น นับได้ว่า ครูลัดดา สารตายน เป็นดาราผู้มีชื่อเสียงมากที่สุดในการแสดงละครของหลวงวิจิตรวาทการในยุคนั้น รับบททั้งพระเอกนางเอก ปรากฏอยู่ในข้อมูลการแสดงละครของหลวงวิจิตรวาทการแทบทุกเรื่อง เช่น เลือดสุพรรณ, เจ้าหญิงแสนหวี, พ่อขุนผาเมือง ฯลฯ นอกจากนั้น ยังได้รับเลือกให้ขับร้องเพลงไทยและเพลงปลุกใจในแผ่นเสียงครั่งสมัยก่อนเป็นที่นิยมของผู้ฟัง

Terje Mikkelsen

  • Person
  • 1957-

Terje Mikkelsen was born in Norway in 1957. He studied at the Norwegian State Music Academy and with Jorma Panula at the Sibelius Academy in Helsinki, Finland, where he received his diploma in orchestra conducting in 1989.

From 1984 he also studied with Mariss Jansons, with whom he collaborated closely both in St. Petersburg and Oslo until 1991. Terje Mikkelsen Conducted the Ukrainian State Orchestra in Kiev from 1989-95. In 1993 the orchestra appointed him Chief Conductor and Music Director. From 1990-1995
28 he was Principal Guest Conductor of the Lithuanian State Symphony Orchestra. Besides the usual concert schedule, he undertook tours with this orchestra and recorded for television and radio. In addition, three CDs with works by Edvard Grieg resulted from this collaboration.

In 1997 Terje Mikkelsen became the Chief Conductor and artistic leader of the Latvian National Symphony Orchestra in Riga. This collaboration has resulted in 20 CD recordings including three discs of music by John Svendsen, as well as three discs by Johan Halvorsen. Several discs are in production consisting of Latvian and international music. Together they have been touring Germany, Spain, Holland, Sweden, Lithuania, Estonia, Norway, and Japan. At present Mikkelsen is chief guest conductor of the orchestra.

In 1999 Terje Mikkelsen was appointed the Chief Conductor and GMD of the Thuringen Philharmonie Gotha-Suhl. With this orchestra he has toured France, Spain, Thailand and Germany.

From 2001 Mikkelsen is visiting professor at the College of Music, the Mahidol University in Bangkok. He is also the conductor of the SAYOWE orchestra in Bangkok.

Results 1 to 20 of 110